ผลวิจัยชี้ยอดใช้จ่ายสตาร์ทอัพยุโรปในการเปิดตลาดในสหรัฐลดฮวบ

6 October 2020 Startups

งานวิจัยล่าสุดพบสตาร์ทอัพยุโรปลดความสำคัญในการทุ่มเทบุคลลากรและทรัพยากรของตนในสหรัฐฯ เหตุเพราะค่าใช้จ่ายใช้ในสหรัฐฯ สุดแพง

บริษัทยุโรปเคยจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการเปิดตัวในสหรัฐฯ เพื่อขยายตลาดทั่วโลกและให้ได้ยอดการเติบโตตามที่ต้องการ ซึ่งมักจะหมายถึงการโยกย้ายทีมงานชุดใหญ่ไปซานฟรานซิสโก เบย์แอเรีย หรือนิวยอร์ค แต่การวิจัยล่าสุดพบว่าความจริงในปัจจุบันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เพราะอเมริกากลายเป็นฐานที่ค่าใช้จ่ายแพงมากขึ้น และโอกาสในยุโรปเองก็ได้พัฒนาขึ้นมาก ซึ่งหมายความว่าสตาร์ทอัพยุโรปกำลังลดความสำคัญในการทุ่มบุคลากรและทรัพยากรของตนในสหรัฐฯ ลง ในขณะยังคงได้รับผลดีเช่นเดิม สตาร์ทอัพจะยังคงมองสหรัฐฯ เพื่อการ exit หรือการขายธุรกิจเพราะบริษัทในยุโรปยังคงตามหลังอเมริกาในเรื่องนวัตกรรม

งานวิจัยชิ้นใหม่โดยอินเด็กซ์ เวนเจอร์สเปิดเผยว่าบริษัทเทคโนโลยียุโรปน้อยกว่า 1 ใน 5 (50 จาก 275 บริษัท) กำลังเลือกที่จะย้ายฐานด้านวิศวกรรมของตนในขณะที่ขยายธุรกิจเข้าสู่อเมริกา ซึ่งเป็นสถานการณ์แตกต่างจากที่เคยเป็นเมื่อสิบปีที่แล้ว เทคสตาร์ทอัพรายใหญ่ๆ ของยุโรปกำลังหาวิธีสร้างการเติบโตให้เหมือนกับที่เคยย้ายฐานไปสหรัฐฯ ในอดีต แต่ลดการลงทุนในสหรัฐฯ ลง

การวิจัยกับสตาร์ทอัพ 275 บริษัทเมื่อสิบปีที่แล้ว (รวมทั้งการวิจัยเชิงลึก 100 บริษัท) ชี้ว่าการสร้างทีมวิศวกรรม เทคโนโลยีและทีมวิจัยและพัฒนา (R&D) ในสหรัฐฯ ลดลง และสตาร์ทอัพเหล่านี้จะอยู่ในยุโรปนานขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากการที่มียุโรปมีคนเก่งและมีทุนมากขึ้นกว่าในอดีต  

ในช่วงระหว่างปี 2008-2014 ประมาณสองในสาม (59%) ของสตาร์ทอัพยุโรปได้ขยายหรือย้ายธุรกิจทั้งหมดเข้ามาในสหรัฐในรอบการระดมทุนซีรี่ส์เอ อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2015-2019 ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสาม  (33%) 

สอดคล้องกับงานวิจัยจากสแตคโอเวอร์โฟลที่พบว่าตลาดเทคของยุโรปได้เปลี่ยนไป ยืนยันด้วยตัวเลขนักพัฒนามืออาชีพมากกว่า 6 ล้านคนอาศัยอยู่ในยุโรปเปรียบเทียบกับตัวเลข 4.3 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา กฎระเบียบเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐที่เข้มงวด รวมทั้งอุปสงค์ที่มากเกินอุปทานทำให้เงินเดือนของคนเทคโนโลยีในสหรัฐพุ่งพรวด โดยค่าแรงในซานพรานซิสโกสูงกว่าในลอนดอนถึง 42% ค่าใช้จ่ายสำหรับสตาร์ทอัพยุโรปในสหรัฐอเมริกาจึงแพงกว่าในขณะที่ความคุ้มค่าลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขาก็สามารถบรรลุการเติบโตได้เท่ากันเมื่ออยู่ในยุโรป

ผู้ก่อตั้งบริษัทยุโรปปัจจุบันก็ระดมทุนมากขึ้นด้วย โดยรอบการระดมทุนโตจาก 1.53 หมื่นล้านเป็น 3.43 หมื่นล้านเหรียญในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา

แดนนี่ ริเมอร์ พาร์ทเนอร์ของอินเด็กซ์ เวนเจอร์ส กล่าวว่าในขณะที่ผู้ก่อตั้งบางคนที่มองว่าการสร้างฐานในสหรัฐเป็นการตัดสินใจที่ดีเมื่อธุรกิจเติบโตไปถึงระดับหนึ่ง แต่การกระทำเช่นนั้นมีค่าใช้จ่ายและความท้าทายที่สูงขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกัน ดัชนีก็พบว่าบริษัทยุโรปลงทุนด้านซอฟต์แวร์น้อยกว่าบริษัทอเมริกา 76% และส่วนใหญ่เป็นเรื่องการทำให้เข้ากัน (compliance) มากกว่าเรื่องนวัตกรรม หมายความว่าสตาร์ทอัพยุโรปยังคงมองสหรัฐอเมริกาเป็นจุดหมายเพื่อใช้เป็นการขายธุรกิจ

งานวิจัยนี้ได้เผยแพร่ใน “Expanding to the US” คู่มือฉบับที่สามของอินเด็กซ์เวนเจอร์ สำหรับผู้ก่อตั้งบริษัทเทคสตาร์ทอัพที่มองหาการเติบโตของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งยังรวมการทดสอบบุคลิกภาพสำหรับสตาร์ทอัพเพื่อดูว่าในระยะใดที่พวกเขาจะต้องเตรียมเปิดตัวในสหรัฐ

และมีการวิเคราะห์สตาร์ทอัพที่มีวีซีสนับสนุน 353 ราย โดยเป็นสตาร์ทอัพยุโรป  275 ราย และอิสราเอล 78 รายที่ได้ขยายเข้าไปในสหรัฐเมื่อช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยมีกลยุทธ์การขยายตัวเข้าสหรัฐอเมริการวมทั้งสัมภาษณ์ผู้ก่อตั้งด้วย

อ้างอิง: TechCrunch.com