National Innovation Agency (NIA) sets a target to be top 20 startup nation in the…
600 สตาร์ทอัพไทยรวมตัวยื่น 7 ข้อเสนอแก่รัฐบาลหวังช่วยผลักดัน Startup Nation ให้เกิดขึ้นได้จริง และช่วยให้สตาร์ทอัพไทยมีศักยภาพพอที่จะแข่งขันกับชาติอื่น โดยมีเป้าหมายสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจร้อยละ 5 ของจีดีพีประเทศไทย เกิดการจ้างงาน 50,000 ตำแหน่ง และเพิ่มจำนวนสตาร์ทอัพที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมให้ได้อีก 1,000 ราย
โดย ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ได้กล่าวถึงการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยที่ผ่านมาว่า จากการสนับสนุนของรัฐบาลตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดสตาร์ทอัพมากกว่า 8,500 ราย เกิดการจ้างงานในธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 15,000 ตำแหน่ง เกิดสถานบ่มเพาะ Startupใน 35 มหาวิทยาลัย เกิดการร่วมลงทุนกับธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 6,000 ล้านบาท
การเปิดทำเนียบต้อนรับกลุ่มสตาร์ทอัพของนายกรัฐมนตรี ตอกย้ำความสำคัญของคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้หน่วยงานภาครัฐ นำโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และกลุ่มของสตาร์ทอัพ ประกอบด้วย ผู้แทนสตาร์ทอัพจากสมาคมการค้าเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ สมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน สมาคมฟินเทคประเทศไทย สมาคมการค้าเฮลท์เทคไทย สมาคมโปรเแกรมเมอร์ไทย ชมรมผู้ประกอบการโลจิสติกส์อิเล็กทรอนิกส์ สตาร์ทอัพรุ่นใหม่ และตัวแทนนิสิต นักศึกษา เยาวชนไทย จาก STARTUP Thailand League รวมประมาณ 600 ราย เข้ายื่นข้อเสนอ 7 ข้อให้คณะรัฐบาลได้พิจารณา
ข้อเสนอทั้ง 7 ประกอบด้วย
1) ความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เช่น การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพ เพื่อลดข้อจำกัดต่างๆ เช่น การถือหุ้นในบริษัทของคนต่างด้าว การออกหุ้นให้กับพนักงานของบริษัท (Employee Stock Ownership Plan – ESOP)
2) การสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม โดยการออกกฎหมายเพื่อเปิดโอกาสให้มีการทดลองทดสอบนวัตกรรมในตลาดก่อนการผลิตจริง (Regulatory Sandbox) รวมทั้งจัดตั้งศูนย์ให้บริการสตาร์ทอัพแบบเบ็ดเสร็จ
3) การตลาดและการขยายธุรกิจของสตาร์ทอัพไปต่างประเทศ โดยการสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐมีการจ้างสตาร์ทอัพ (B2G) เพื่อสร้างตลาด แต่ต้องปรับกระบวนการจัดจ้างให้เหมาะสมกับธุรกิจสตาร์ทอัพ รวมถึงให้รัฐช่วยสนับสนุนการต่อยอดธุรกิจไปสู่ประเทศกลุ่ม CLMV และภูมิภาค และขยายธุรกิจในลักษณะ B2B
4) การพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมขั้นสูง (Deep Tech Startup) โดยต้องสนับสนุนให้สตาร์ทอัพทำงานร่วมกับนักวิจัยในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจัย สร้าง cluster ในภาคธุรกิจต่างๆ และพัฒนาปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนา Deep Tech
5) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการระดมทุนของสตาร์ทอัพ โดยการพัฒนานักลงทุนรุ่นใหม่ให้เข้าใจลักษณะธุรกิจของสตาร์ทอัพ และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในสตาร์ทอัพอย่างต่อเนื่องผ่านการพัฒนากองทุน ทั้ง Matching Fund และ Impact Fund และสร้างเครือข่ายนักลงทุนกับสตาร์ทอัพ
6) การสร้างสังคมผู้ประกอบการ เพื่อให้เด็กและสตาร์ทอัพได้พบปะ แลกเปลี่ยน เรียนรู้จากสตาร์ทอัพด้วยกัน โดยการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้เกิดสังคมผู้ประกอบการ
7) การดึงดูดบุคลากรที่มีทักษะสูงสำหรับสตาร์ทอัพ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาสตาร์ทอัพ ซึ่งรัฐบาลสามารถสนับสนุนผ่านการลงทุนในการฝึกอบรมและการศึกษาได้
ด้านตัวแทนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพเผยว่า มีหลายด้านที่สตาร์ทอัพไทยต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐเพื่อให้ขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น และหากประเทศไทยต้องการส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพให้เติบโต ก็ต้องสนับสนุนให้เกิดนักลงทุน
จากทั้ง 7 ข้อเสนอนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รู้สึกยินดี เพราะได้เห็นความตื่นตัวของกลุ่มสตาร์ทอัพ และมองว่าเป็นโอกาสที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน นายกฯ ได้ชี้ให้เห็นว่ายุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทต่างๆ จะเป็นโอกาสที่ดีของสตาร์ทอัพที่จะเข้ามามีส่วนในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว โดยรัฐบาลยินดีช่วยเหลือและสนับสนุนในประเด็นที่เสนอมาอย่างเต็มที่ตามกรอบแนวทางที่สามารถทำได้ โดยจะให้หน่วยงานต่างๆ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งการจัดตั้งศูนย์ One Stop Service การแก้หรือปรับปรุงกฎหมาย หรือเรื่องกองทุนสตาร์ทอัพ เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินงานไปแล้วหลายเรื่อง เช่น การพัฒนา Smart VISA อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงไม่สามารถดำเนินการเรื่องต่างๆ ได้เพียงลำพัง ต้องทำงานร่วมกันกับภาคส่วนต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างท้าทาย