“พันธมิตรร่วมรบ” ทางรอดสู้ศึกโควิด-19

6 April 2020 Startups

การทำงานผ่านความร่วมมือ ทั้งในและต่างประเทศเป็นบทพิสูจน์แล้วว่า มีส่วนทำให้ “สตาร์ทอัพ”พัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของโลก ได้ตรงเป้าและรวดเร็วขึ้น

สัญญาณเตือนโควิด-19 จาก “สตาร์ทอัพ” ก่อนเชื้อระบาด ขณะที่ เรจินาด์ล สวิฟ ทดสอบชุดตัวอย่างที่ได้รับจากเอเซีย เขามองเห็นไวรัสที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จากประสบการณ์การศึกษาโรคติดเชื้อในแอฟริกาตะวันตกและในอินเดีย ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นเป็นอะไรที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง

สวิฟ คือผู้ก่อตั้งและซีอีโอบริษัท Rubix Life Sciences สตาร์ทอัพในเมืองลอร์เรนซ์ แมสซาจูเสสผู้สร้างโมเดลเพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้อและโรคหายาก หน่วยวิจัยของบริษัทนี้ได้ศึกษาความหลากหลายของคนไข้ที่เซ็นต์เข้าร่วมทดลองการใช้ยาเพื่อรักษาโรคติดเชื้อและโรคหายาก

ในเดือนธันวาคม 2019 เมื่อองค์กรวิจัยซึ่งเป็นพันธมิตรกับบริษัทได้รับงานชุดทดสอบกับสัตว์ทดลอง พวกเขาต้องการจะรู้ให้ว่าอะไรทำให้ปศุสัตว์อย่างวัว ไก่ และไก่งวงล้มตาย และถ้าสาเหตุคือเชื้อจุลินทรีย์ เชื้อนั้นจะแพร่มาสู่คนได้หรือไม่

หนึ่งในพันธมิตรของ Rubix คือโรงพยาลท้องถิ่นในฮ่องกงได้ติดต่อบริษัทในเดือนธันวาคมเนื่องจากพวกเขาไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะทำให้เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ สวิฟกล่าวว่าจากการศึกษาโมเดล ไวรัสตัวนี้พัฒนาจากสัตว์และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก่อนที่ทีมงานจะระบุได้ว่ามันคือโคโรน่าไวรัส และจากจุดนั้นมา ทีมวิจัยต้องทำงานอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับไวรัสนี้

“มันเจริญเติบโตผิดปรกติ และพัฒนาตัวรวดเร็วเกินกว่าที่เราคาดคิด สิ่งแรกที่เราทำคือติดต่อศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ CDC เพื่อแจ้งว่าเราพบบางสิ่งบางอย่างที่เราจำเป็นต้องทำงานร่วมกับ CDC ทันที แต่ในขณะนั้นไม่มีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง” สวิฟกล่าว

ในขณะที่ทีมของ Rubix Life Sciences team ไม่คาดคิดว่าการแพร่กระจายของโควิด-19 จะกลายเป็นโรคระบาด โมเดลงานวิจัยของพวกเขาบ่งชี้ว่าไวรัสตัวนี้ส่งผลกระทบต่อระบบชีวภาพของมนุษย์ อย่างมีนัยยะที่แตกต่างกันมากมายและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากจุดนั้น บริษัทจึงตั้งเป้าว่า จะต้องจัดการไวรัสตัวนี้ให้ได้ และถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจอย่างรีบด่วนที่สุด

สตาร์ทอัพ Rubix ก่อตั้งในปี 2016 และเป็นที่ปรึกษาให้แก่หน่วยงานงานหลายแห่งในการวางแผนมาตรการเพื่อแก้ปัญหาวิบัติภัยอันเนื่องมาจากสารเคมี ชีวภาพและสิ่งแวดล้อม

“เป้าหมายของเราคือแจ้งให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่รับทราบเพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาวัคซีนมาจัดการกับโรคระบาด” สวิฟกล่าว

เพื่อเดินเกมในเชิงรุกรวมทั้งจุดกระแสความสนใจ สวิฟและทีมงานได้ยื่นประกวดรางวัลนวัตกรรมกับสถาบันโรคติดเชื้อและโรคภูมิแพ้แห่งชาติเมื่อต้นเดือนมกราคม ไอเดียก็คือ สร้างชิ้นส่วนชิ้นงานนำร่อง คือหน้ากากตรวจจับแบบเรียลไทม์ โดยใช้เครื่องรับสัญญาณที่เป็น AI หน้ากากนี้ได้พัฒนาเพื่อตรวจจับการระบาดของเชื้อโรค อาทิ Leishmaniasis, Lassa, West Nile, Zika และต่อมาก็พัฒนาเพื่อตรวจจับ โควิด -19

บริษัทได้จัดสร้างหน้ากากต้นแบบจนสำเร็จและใช้ตรวจจับเชื้อโรค ซึ่ง ณ ขณะนั้นยังเป็นวันที่ 4 มกราคม โดยต่อมา ข่าวที่เกิดการติดเชื้อโคโรน่าไวรัสเคสแรกในสหรัฐอเมริกา คือวันที่ 20 มกราคม

สวิฟตระหนักดีกว่า เวลาเริ่มกระชั้นชิดเข้ามามากขึ้น ขณะที่เขารอการตอบรับจากสถาบันฯ เขาก็ได้ส่งหน้ากากไปให้หน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ในฟิลิปปินส์และไต้หวัน เพื่อเก็บข้อมูลซึ่งเขาจะได้นำเสนอต่อ CDC ในลำดับต่อมา

กลางเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากประเมินสถานการณ์ที่มีการผันผวนไปอย่างรวดเร็ว สวิฟและทีมงานเริ่มใช้อุปกรณ์ที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อมอนิเตอร์อาการระดับโลกของไวรัส ผ่านความร่วมมือกับโรงพยาบาลต่างๆ ติดตั้งอุปกรณ์ในโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา แคนาดารวมทั้งในจีน อุปกรณ์ดังกล่าวช่วยให้โรงพยาบาล สามารถมองเห็นการแพร่ระบาดของไวรัสแบบเรียลไทม์ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาสามารถปรับแผนยุทธศาสาตร์รวมทั้งซัพพลายต่างๆ ที่จำเป็น ต่อการตรวจหาไวรัสให้กับผู้ป่วยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในสถานการณ์ความเป็นความตาย ทีมของสวิฟต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อว่าในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โรงพยาบาลและคลีนิครักษาผู้ป่วยทั่วโลก จะได้มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นเพื่อต่อกรกับไวรัสคร่าชีวิต สตาร์ทอัพ Rubix ยังได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมทำเนียบขาว เพื่อทำงานร่วมกันในการแก้ปัญหาการระบาดของโรคที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

ที่มา : americaninno.com