กลต.อนุมัติ 4 บ.สินทรัพย์ดิจิทัล 2 รายไม่ผ่าน

16 January 2019 Startups

จากกรณีที่มีการเห็นชอบในการให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลังโดยข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ทั้งสิ้น 4 รายจากจำนวนที่ยื่นขอใบอนุญาตทั้งหมด 7 รายกำลังกลายเป็นประเด็นที่น่าติดตามเสียแล้ว เพราะมีถึง 2 รายที่ถูกปฏิเสธ และอีก 1 รายที่อยู่ระหว่างการพิจารณา

โดยกลุ่มที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย

ผู้ได้รับอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 3 ราย ได้แก่
1. บริษัท บิทคอยน์ จำกัด (BX) เว็บไซต์ bx.in.th
2. บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด (BITKUB) เว็บไซต์ bitkub.com
3. บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Satang Pro) เว็บไซต์ satang.pro

ส่วนอีกรายเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นนายหน้าและผู้ค้าคริปโตเคอเรนซี (Broker/Dealer) ได้แก่ บริษัท คอยส์ ทีเอช จำกัด (Coins TH) เว็บไซต์ Coins.co.th

ส่วนในรายของบริษัท คอยน์ แอสเซท จำกัด (Coin Asset) เว็บไซต์ coinasset.co.th ซึ่งยื่นขอใบอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ผลปรากฏว่ายังอยู่ระหว่างการพิจารณา เนื่องจากในระหว่างพิจารณาคำขอ Coin Asset มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารที่มีนัยสำคัญต่อการพิจารณา ทำให้กระทรวงการคลังยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้การพิจารณาคำขอของบริษัทต้องเลื่อนออกไป โดยในระหว่างนี้บริษัทดังกล่าวยังสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ภายใต้บทเฉพาะกาล

ด้านนายศิวนัส ยามดี ผู้ก่อตั้งบริษัท คอยน์ แอสเซท จำกัด ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าวว่า บริษัทมีการปรับปรุงและพัฒนาระบบเพื่อให้สามารถอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยให้ตอบโจทย์กับนักลงทุนในช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารในบางตำแหน่ง เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญเหมาะสมต่อการเติบโตของธุรกิจต่อไปในอนาคต เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องมีการพิจารณาคำขอใบอนุญาตจากทาง กลต. อีกครั้ง ซึ่งทางบริษัทยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด

พร้อมกันนี้ยังได้ยืนยันถึงความปลอดภัยของผู้ใช้จากมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2013 ที่บริษัทได้รับ เพื่อเป็นการการันตีว่าข้อมูลสำคัญของผู้ใช้งานจะไม่รั่วไหล อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับอยู่บน Blockfolio และ CoinGecko ซึ่งเป็นศูนย์กลางการจัดอันดับในแวดวงคริปโตเคอเรนซีจากทั่วโลกด้วย

Cash2coin-SEADEX เตรียมยื่นรอบ 2

ขณะที่กลุ่มที่คำขออนุญาตถูกปฏิเสธจำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัท แคชทูคอยน์ จำกัด (Cash2coin) เว็บไซต์ cash2coins.com และบริษัท เซาท์อีส เอเชีย ดิจิทัล เอ็กซ์เชนจ์ จำกัด (SEADEX) เว็บไซต์ seadex.io ซึ่งได้ยื่นคำขอใบอนุญาตเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) นั้น ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. ระบุสาเหตุของการปฏิเสธว่ามาจากระบบงานสำคัญ อาทิ การดูแลรักษาทรัพย์สินและระบบงานในการทำความรู้จักตัวตนลูกค้ายังไม่มีความพร้อมตามมาตรฐานที่ ก.ล.ต. ยอมรับ และไม่สามารถแสดงได้ว่าระบบ IT security และ cybersecurity มีความปลอดภัยเพียงพอ จึงไม่สามารถให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลได้นั่นเอง

โดยผู้ประกอบการทั้งสองรายต้องยุติการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลภายในวันที่ 14 มกราคม 2562 นี้ ซึ่งจากการโทรศัพท์เข้าไปสอบถามทางคอลล์เซนเตอร์ของทั้งสองค่ายนั้น ทางเจ้าหน้าที่ระบุตรงกันว่า ได้รับเอกสารแจ้งจาก ก.ล.ต. แล้วว่ามีส่วนใดบ้างที่ต้องปรับปรุง และอยู่ระหว่างการปรับแก้ในส่วนที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต. จากนั้น เมื่อแก้ไขเรียบร้อยก็จะยื่นขอใบอนุญาตรอบใหม่ต่อไป โดย ณ ตอนนี้ อยู่ระหว่างการชี้แจงกับลูกค้า และจะมีการประกาศคำชี้แจงทางหน้าเว็บไซต์ในเร็วๆ นี้

คำแนะนำจาก ก.ล.ต. ต่อผู้ที่ต้องการโอนสินทรัพย์ออกจาก Cash2coin และ SEADEX นั้น สามารถทำได้ 2 ทาง นั่นคือ โอนไปยังวอลเล็ต (wallet) ของศูนย์ซื้อขายฯ อื่นที่ลูกค้ามีบัญชีอยู่ หรือเลือกที่จะรับคืนสินทรัพย์ดิจิทัล โดยให้โอนมาที่วอลเล็ตส่วนตัว หรือโอนไปยังวอลเล็ตที่ให้บริการรับฝาก-เก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลก็ได้

ขณะที่บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตอย่าง Bitkub นั้น ทางผู้บริหารได้ออกมาประกาศแล้วว่า มีแผนจับมือกับ 2 บริษัทหลักทรัพย์ในการหาแนวทางเปลี่ยนถ่ายนักลงทุนจากตลาดในแบบเดิมมาสู่การลงทุนในรูปแบบเวอร์ชวล รวมถึงการจับมือกับบริษัทผู้ให้บริการอีวอลเล็ต หวังใช้เป็นทางเลือกในการลงทุนและการรับชำระเงินของลูกค้า

ทั้งนี้มีการคาดการณ์ของนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ร่วมก่อตั้ง และซีอีโอของ Bitkub ด้วยว่า ตลาดเงินดิจิทัลสามารถเติบโตไปสู่มูลค่าที่มากกว่าเดิม 10 เท่าภายใน 2 – 3 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า จากปัจจุบันที่มีมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดมีโอกาสโตไปเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มูลค่าดังกล่าวก็ยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมกันกว่า 70 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง