เบื้องหลังสเปซเอ็กซ์เลย์ออฟพนักงาน

17 January 2019 Investment

จากการที่เกวนน์ ช็อทเวลล์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ร่วมกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “อีลอน มัสก์” ออกมาประกาศเลย์ออฟพนักงานครั้งใหญ่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสาเหตุของการเลย์ออฟพนักงานครั้งนี้ได้รับการเปิดเผยจากอดีตพนักงาน 2 คนที่ถูกให้ออกจากงานว่ามาจากการปรับโครงสร้างบริษัท ส่งผลให้เหลือพนักงานที่บริษัทยังคงจ้างอยู่ราว 6,400 คน

เปิดศักราชใหม่ SpaceX แจกซองพนักงาน เลย์ออฟกว่า 500 คนในทุกส่วนขององค์กร และทุกทีมได้รับผลกระทบทั่วถึง บริษัทชี้เพื่อความคล่องตัวในการให้บริการแก่ลูกค้า ยืนยันยังมีพนักงานอยู่มากกว่า 6,000 ราย

Intro: ขณะที่เอกสารเผยแพร่จากทางบริษัทเกี่ยวกับการเลย์ออฟเผยว่า เป็นการเลย์ออฟเพื่อให้สเปซเอ็กซ์สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างดีต่อไป รวมถึงเหตุผลที่ว่า หากต้องการประสบความสำเร็จในการพัฒนาอากาศยานเพื่อขนส่งระหว่างดาวเคราะห์ต่าง ๆ สเปซเอ็กซ์จำเป็นต้อง “ปราดเปรียว” ยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า การเลย์ออฟครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่สเปซเอ็กซ์ตั้งเป้าจะเป็นมหาอำนาจในโลกโทรคมนาคม รวมถึงการเปิดโฉมธุรกิจอากาศยานที่สามารถนำตัวจรวดและเครื่องยนต์กลับมาใช้ซ้ำได้

โดยในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการระดมทุนรอบใหม่ที่มีเป้าหมายอยู่ที่ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะทำให้บริษัทมีมูลค่ามากถึง 30,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีสถานะเป็นสตาร์ทอัพอีกหนึ่งรายที่มีมูลค่าสูงเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก โดยสเปซเอ็กซ์ตั้งเป้าไว้ว่า บริษัทจะสามารถส่งยานขนส่งไปดาวอังคารได้เป็นครั้งแรกในปี 2565 และจะส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคารครั้งแรกภายในปี 2567 ด้วย ทั้งนี้ กระบวนการในการแจ้งเลย์ออฟเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เมื่อบริษัทตัดสินใจให้พนักงานกลับบ้านและเช็กอีเมล โดยผู้ที่ได้รับสลิปสีชมพูก็คือผู้ที่ถูกเลย์ออฟ ส่วนบริษัทได้ปิดทำการในช่วงปลายสัปดาห์

นอกจากนี้ บริษัทยังได้เสนอตัวช่วยกับพนักงานด้วยบริการเขียนเรซูเม่และช่วยหางานใหม่ นอกเหนือจากสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่มอบให้กับพนักงานที่ถูกเลย์ออฟด้วย โดยการเปิดเผยของพนักงานที่ถูกเลย์ออฟ 2 รายระบุว่า การเลย์ออฟครั้งนี้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วนขององค์กร และเชื่อว่าทุกภูมิภาคและทุกทีมได้รับผลกระทบกันหมด ส่วนสเปซเอ็กซ์นั้นยืนยันว่าบริษัทยังมีพนักงานอยู่มากกว่า 6,000 ราย และการปรับโครงสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นกับทุกส่วนของบริษัท

โดยข้อมูลจากเอกสาร WARN ที่บริษัทยื่นต่อรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 11 มกราคมนั้นระบุว่า เฉพาะสำนักงานใน Hawthorne ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการพัฒนากระสวยอวกาศของบริษัท ยังมีการเลย์ออฟพนักงานออกไป 577 คน ขณะที่โรงงานอื่น ๆ ก็ถูกเลย์ออฟออกไปเช่นกัน ทั้งนี้ การเลย์ออฟพนักงานสร้างความประหลาดใจให้กับบุคลากรภายในของสเปซเอ็กซ์ไม่น้อย แต่คนวงในเหล่านั้นก็ยอมรับว่า ในท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ช็อทเวลล์ได้เคยกล่าวให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่าสเปซเอ็กซ์ยังสามารถทำกำไรได้ สวนทางกับข้อมูลทางการเงินของบริษัทที่ไม่ค่อยสวยงามนัก รวมถึงข้อมูลที่ว่ากระสวยอวกาศฟอลคอน 9 เกิดการระเบิดในปี 2559 จนนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายมหาศาล โดยในครั้งนั้น ช็อทเวลล์เผยว่าบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการระดมทุนรอบใหม่ ส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าความกดดันหนึ่งคือการคาดหวังจากอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้บริการด้านโทรคมนาคมของสเปซเอ็กซ์ ซึ่งระหว่างทางตามแผนของบริษัท ก็มีสตาร์ทอัพรายต่าง ๆ เริ่มยิงดาวเทียมขนาดเล็กสำหรับเก็บข้อมูลและภาพถ่ายดาวเทียมออกมา สเปซเอ็กซ์เองก็อยู่ระหว่างการพัฒนาชุดดาวเทียมของตัวเองในชื่อสตาร์ลิงก์ (Starlink) สำหรับให้บริการอินเทอร์เน็ตในวงโคจรระดับต่ำ นอกจากนั้น สเปซเอ็กซ์ยังอยู่ระหว่างการสร้างคาร์โก้ หรือยานขนาดใหญ่เพื่อบรรจุผู้คนและสิ่งของสำหรับเดินทางสำรวจอวกาศ ตามวิสัยทัศน์ที่ซีอีโออย่างอีลอน มัสก์เคยกล่าวไว้ว่า จะพามนุษย์ไปดาวอังคารและสร้างอารยธรรมใหม่ที่นั่น

แน่นอนว่าการออกมาประกาศเลย์ออฟพนักงานย่อมส่งผลกระทบต่อความเกรียงไกรด้านเทคโนโลยีของสเปซเอ็กซ์ไม่มากก็น้อย แม้ว่าบริษัทจะสามารถนำพายานดรากอนซึ่งไปปฏิบัติภารกิจกลับสู่พื้นโลกได้อย่างปลอดภัยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ตาม

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับการเลย์ออฟของสเปซเอ็กซ์นั้น ได้มีการระบุอย่างชัดเจนว่า “เป็นไปเพื่อให้บริษัทสามารถส่งมอบบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อให้องค์กรประสบความสำเร็จในการพัฒนายานอวกาศระหว่างดาวเคราะห์ รวมถึงการให้บริการอินเทอร์เน็ต สเปซเอ็กซ์จำเป็นต้องมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าเราจะต้องแยกทางกับสมาชิกที่มีความสามารถบางท่าน เราขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาร่วมสร้าง และความมุ่งมั่นในภารกิจของสเปซเอ็กซ์ตลอดมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต”

อ้างอิง: CNBC.com