สตาร์ทอัพไอเดียบรรเจิดกว่า 400 รายพร้อมโชว์ศักยภาพให้กับนักลงทุนจากทั่วโลกในงาน Startup Thailand 2018 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Endless Opportunities
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ร้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และสังคมให้ช่วยเร่งสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพ (startup ecosystem) เพื่อผลักดันให้ไทยขึ้นแท่นสตาร์ทอัพฮับแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ดร. สมคิด กล่าวในฐานะประธานในพิธีเปิดงานใหญ่แห่งปี Startup Thailand 2018: Endless Opportunities ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ถึงแม้สตาร์ทอัพไทยจะเพิ่งเริ่มพัฒนาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่อัตราการเติบโตก็ทำได้รวดเร็วเป็นที่น่าพอใจมาก ทว่า หากจะเป็นฮับของเอเชียอาคเนย์ให้ได้ ประเทศไทยต้องเร่งมือพัฒนา ecosystem ให้มีความสมบูรณ์ครบด้านโดยเร็ว
“การสร้าง ecosystem เป็นความท้าทายอันดับหนึ่งที่เราต้องจัดการให้ได้โดยไว ทั้งนี้ สตาร์ทอัพไม่เหมือนเอสเอ็มอีเลย ธุรกิจเหล่านี้จะโตได้ต้องอาศัยไอเดียและเทคโนโลยี ดังนั้น เราต้องสร้างระบบนิเวศที่เอื้อให้มีการนำความคิดสร้างสรรค์มาทำให้เป็นธุรกิจได้จริง” ดร. สมคิด กล่าว
ดังนั้น ความร่วมมือในการสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นจากภาครัฐ เอกชน และทุกภาคส่วนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่ง
ดร. สมคิด ให้เหตุผลว่าความจำเป็นในการสร้างทีมชาติสตาร์ทอัพนั้นสืบเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากและรวดเร็ว ทำให้เกิดรูปแบบทางเศรษฐกิจแบบใหม่ ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีให้ทันโลก
ท่ามกลางวิกฤติย่อมมีโอกาส ความปั่นป่วนในโลกอันเกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ได้สร้างแพลตฟอร์มใหม่ให้กับเศรษฐกิจ นั่นคือการที่ปลาเล็กสามารถเอาชนะปลาใหญ่ได้ด้วยไอเดีย
“การเกิดของเหล่ายูนิคอร์นอย่างอาลีบาบา เทสลา และอูเบอร์ ซึ่งเติบโตแผ่ขยายทั่วโลกได้แบบทันตาเห็น เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าการจะรอดพ้นจากสถานการณ์เทคโนโลยีเปลี่ยนโลกได้ เราต้องร่วมมือกันผลักดันให้กองทัพสตาร์ทอัพเติบโตแข็งแกร่งพอที่จะเป็นฐานในการผลักดันเศรษฐกิจให้รุดหน้าไปในอนาคต จึงเป็นที่มาของนโยบายสร้าง “นักรบเศรษฐกิจ” ของรัฐบาล” ดร. สมคิดกล่าว
ดร. สมคิดมั่นใจว่าประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็นสตาร์อัพฮับได้ หากพิจารณาจากความสำเร็จของประเทศ ปัจจุบัน กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับสตาร์ทอัพและเป็นอันดับ 7 ของโลก ทั้งที่เริ่มต้นพัฒนาสตาร์ทอัพเมื่อ 3 ปีที่แล้วนี่เอง
ในงานเดียวกัน ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยถึงแผนการสร้าง ecosystem ให้สมบูรณ์ผ่านการผลักดันนโยบาย 7 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ การออก พ.ร.บ. สตาร์ทอัพ พ.ร.บ.พัฒนาระเบียบและกฎเกณฑ์ (regulatory sandbox act) และกฎหมายเพื่อส่งเสริมวิจัย การสร้างตลาดให้สตาร์ทอัพ ปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้างเชิงวิจัยภาครัฐ และพัฒนาการบริการด้านสาธารณูปโภค ได้แก่ โครงการ Smart Visa และพัฒนาย่านนวัตกรรม
งานสตาร์ทอัพประจำปีนี้ จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์โอกาสไร้ขีดจำกัด ทางกระทรวงวิทย์ฯ ได้จัดให้มีงานสัมมนาให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีถึง 18 เวที พื้นที่ hackathon เพื่อโชว์โปรแกรมซอฟแวร์ที่ดีที่สุดในงานครั้งนี้ อีกทั้งยังมีเวที pitching เพื่อให้เหล่าสตาร์ทอัพไอเดียเลิศทั้งหลายได้แสดงศักยภาพขึ้นในงานทั้งสี่วันนี้อีกด้วย