ปิติชัย ปิติมณียากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูแคนส์ จำกัด เปิดเผยว่านวัตกรรม Save the kids ป้องกันปัญหาการลืมเด็กไว้บนรถ ด้วยเทคโนโลยี ไบโอเซ็นเซอร์ หรือ Bio sensor ตรวจสิ่งมีชีวิตจากอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ และความชื้นที่เกิดขึ้นจากการหายใจ เนื่องจากเมื่อเด็กถูกทิ้งไว้บนรถเป็นเวลานาน ร่างกายจะมีอุณหภูมิที่สูงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะสูญเสียน้ำในร่างกาย และเด็กมีโอกาสเสียชีวิตได้ภายใน 2 ชั่วโมง หากร่างกายเริ่มร้อนความชื้นในร่างกายจะต่ำลง และจะมีการคายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
ทั้งนี้การทำงานจะเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม IOT เครื่องจะเริ่มตรวจจับตั้งแต่ที่มีการดับเครื่องยนต์ หากมีคนติดอยู่ในรถประมาณ 15 นาที ระบบจะเริ่มวัดคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ภายในรถ และหากพบว่ามีระดับคาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้ดูแลรถ หรือ ครู ผ่านแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการแจ้งเตือนจะทำให้สามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที โดยระบบการทำงานของ Bio Sensor มีความแม่นยำ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของเด็กที่ติดอยู่ในรถได้มากถึง 95%
นอกจากนี้ มีนวัตกรรม จีพีเอส เซ็นเซอร์ หรือ GPS Sensor ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับรถรับ-ส่งนักเรียน หากคนขับรถมีพฤติกรรมการขับขี่ที่ประมาท หวาดเสียว ระบบจะแจ้งเตือนไปยังแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือของผู้ปกครองทันที และ ระบบยังสามารถแจ้งเวลาที่รถรับ-ส่ง จะเดินทางมารับเด็กได้อีกด้วย ซึ่งในอนาคตนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยเหลือชีวิตและปกป้องสิทธิเด็กมีความจำเป็นมากขึ้น
ฉัตรชัย ตั้งจิตรตรง ผู้ก่อตั้งบริษัท โพโมะ เฮาส์ จํากัด หรือ GPS Watch POMO นาฬิกาติดตามตัวเด็กป้องกันเด็กหาย กล่าวว่าเป็นนวัตกรรมที่ที่ใช้คู่กับแอปพลิเคชัน POMO Connect ซึ่งผู้ปกครองจะต้องดาวน์โหลดเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับนาฬิกาเป็นระบบติดตามตัวผู้สวมใส่ด้วยกัน 3 ระบบ คือ ระบบ WIFI หากเด็กอยู่ในอาคารที่มี WIFI นาฬิกาจะแท็กสัญญาณอัตโนมัติ ทำให้ผู้ปกครองสามารถรู้พิกัดเด็กได้ทันที ระบบ GPS ทำหน้าที่ในการระบุตำแหน่งที่เด็กอยู่ จะใช้ในกรณีที่เด็กอยู่พื้นที่โล่งแจ้ง และระบบ A GPS ที่เข้ามาช่วยคำนวณตำแหน่งให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มระบบ Take me home ระบบบอกเส้นทางให้แก่เด็ก ซึ่งจะเป็นการสอนให้เด็กอ่านแผนที่เป็น รวมถึงปุ่ม SOS ที่หากเกิดกรณีฉุกเฉินจะสามารถกดและส่งการแจ้งเตือนไปถึงผู้ปกครองได้ ซึ่งจะบอกพิกัดได้อย่างแม่นยํา ทำให้ผู้ปกครองสามารถค้นหาเด็กได้รวดเร็วขึ้น ช่วยลดความกังวลของผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้มีการพัฒนาระบบ AI เข้าไปในนาฬิกา ให้เด็กสามารถพูดคุย เล่มเกมทายสัตว์ด้วยเสียง ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งลดพฤติกรรมการติดหน้าจอได้ ใช้ได้ตั้งแต่เด็กอนุบาลไปจนถึงเด็กประถม ซึ่งถือว่าไม่มีความซับซ้อนในเชิงเทคนิคเพียงแค่สวมใส่ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในตัวเด็กได้ทันที ขณะนี้ทางบริษัทยังได้วางแผนการพัฒนาให้ตอบโจทย์การดูแลเด็กได้มากขึ้น ด้วยการพัฒนาให้รองรับระบบ 4G รวมไปถึงการเพิ่มฟังก์ชันอื่น และการออกแบบให้ดึงดูดและน่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมด และในอนาคตนวัตกรรมสำหรับเด็กมีโอกาสที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะในปัจจุบันผู้ปกครองหันมาให้ความสำคัญกับอุปกรณ์ที่จะช่วยแจ้งเตือน และระบุที่อยู่ของลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องของความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จำเป็นทั้งกับตัวเด็กและคนใกล้ตัว และเป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อการลงทุน