ปัจจุบันบริษัทก่อตั้งขึ้นด้วยเงินทุนซีรี่ส์เอ 10 ล้านเหรียญโดยมีบริษัทอินเทล แคปิตอล นำทีมการลงทุนผ่านความร่วมมือกับเจเนรัล แคตาลิสต์ บริษัทที่ลงทุนสูงสุดในรอบseed 1.7 ล้านเหรียญ
นอกจากที่ ModelDB จะช่วยติดตามพัฒนาการของโมเดลให้แก่ผู้ใช้แล้ว วาร์ทัคต้องการสร้างแพล็ตฟอร์มสำหรับให้นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (data scientists) นำโมเดลไปใช้ในการทำงานจริง ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ยากสำหรับหลายบริษัท เธอต้องการสร้างความมั่นใจว่าเมื่อนำไปใช้งานจริง ระบบจะยังให้ข้อมูลที่ถูกต้องและอัพเดท
“Verta สามารถแกะรอยได้ว่าโมเดลยังทำงานได้และส่งสัญญาณเตือนเมื่อโมเดลนั้นเกิดการทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่คาดคิด” บริษัทอธิบาย
วาทัคกล่าวว่าการมีโครงการโอเพ่นซอร์สช่วยให้ขายบริษัทให้แก่นักลงทุนเร็วขึ้น และจะเป็นแนวทางที่ดึงดูดลูกค้าได้ในขณะนี้ “ดังนั้นในช่วงการลงทุนรอบ seed จึงแตกต่างอย่างชัดเจนเพราะฉันทำงานในฐานะผู้ก่อตั้งเดี่ยว ผู้ก่อตั้งคนแรกคนเดียวตั้งแต่ที่ยังเรียน และเมื่อมีโครงการโอเพ่นซอร์สจึงนับว่าเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่”
แน่นอนว่า มาร์ค โรสทิค รองประธานและกรรมการผู้จัดการอาวุโสของอินเทล แคปิตอลรู้ว่า Verta กำลังพยายามจะแก้ปัญหาพื้นฐานเกี่ยวกับการผลิต Machine Learning Model “Verta แก้หนึ่งในปัญหาหลักที่หลายบริษัทต้องประสบในการประยุกต์ใช้เอไอ นั่นคือการลดช่องว่างระหว่างนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและนักพัฒนาเพื่อเร่งการใช้งาน Machine Learning Model”
ขณะที่วาทัคไม่พร้อมที่จะพูดถึงจำนวนลูกค้าเพราะเพิ่งอยู่ในระยะแรกของบริษัท เธอกล่าวว่ามีบางบริษัทที่ใช้แพล็ตฟอร์มนี้และนำโมเดลไปสู่การผลิตโปรแกรมเพื่อใช้งานจริงได้เร็วขึ้น
ปัจจุบันบริษัทมีพนักงาน 9 คน และแม้จะอยู่ในช่วงเริ่มต้น เธอก็ให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยพนักงานทั้งหมดประกอบด้วย คนอินเดีย 4 คน คนขาว 3 คน ละตินและเอเซียอย่างละ1 คน และเธอยังคงยึดเป้าหมายของความหลากหลายในการสร้างบริษัท โดยมีแผนจะมีพนักงาน 15 คนในปีนี้ แล้วเพิ่มขึ้นสองเท่าภายในปีหน้า
สิ่งหนึ่งที่วาร์ทัค ต้องการจะทำคือมีชายหญิงอย่างละ 50-50 ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอสามารถทำได้ตอนเรียนที่เอ็มไอทีจากการทำโครงการหลายๆ โครงการ และเธอก็ใช้รูปแบบนี้กับบริษัท เธอกำลังทำงานกับบริษัทอื่นด้วยคือ สเวต อิควิตี้ เวนเจอร์ส ในการช่วยรับสมัครคนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้าทำงาน
วาร์คทัคสนุกกับการสร้างแพล็ตฟอร์มอย่างไม่ย่อท้อ เธอกล่าวว่าเธอชอบทดลองหาฟีเจอร์ใหม่ ๆ แม้จะเป็นการทำงานของทีมงานเล็ก ๆ ก็ตาม ปัจจุบันสิ่งที่เธอกำลังทำคือการทำงานร่วมกันของเครื่องมือมาชีนเลอร์นนิ่งต่าง ๆ อย่าง SageMaker ของแอมาซอน หรือ Kubeflow ซึ่งเป็นเครื่องมือมาชีนเลอร์นนิ่งโอเพ่นซอร์ส
“เราตระหนักดีว่าเราจะต้องทำให้ลูกค้าไปให้สุด ดังนั้นในช่วงสองไตรมาสสุดท้ายเราจึงมุ่งเน้นอย่างมากในการสร้างระบบที่จะทำให้การทำงานต่อเชื่อมร่วมกันได้ เพื่อที่ว่าลูกค้าจะสามารถหยิบเลือกส่วนประกอบใช้งานได้เหมือนอย่างตัวต่อเลโก้โดยมีระบบที่ทำงานต้นทางและปลายทางได้อย่างไร้รอยต่อ
อ้างอิง : TechCrunch.com