ในขณะที่ธุรกิจใหม่ๆ อย่างไวล์ดไทป์ ฟินเลสฟู้ดส และชีออคมีทส์กำลังพัฒนาใช้เซลล์เป็นทางเลือกแทนทูน่า แซลมอนและกุ้ง ส่วนกู๊ดแคชและโอเชียนฮัคเกอร์ใช้ทูน่าทดแทนในแบบของตนเอง แต่ Kuleana กลับสร้างความแตกต่างโดยการใช้ผักทดแทนทูน่าดิบเกรดระดับซุชิทูน่า
“และนั่นเป็นเพียงการเริ่มต้น เพราะบริษัทเตรียมพัฒนาทางเลือกแก่ชาววีแกน โดยขยายรวมถึงทูน่า แซลมอน ปลาและหอย”
จาเซ็ค พรุส ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Kukena กล่าวและเสริมว่ายังไม่มีใครสามารถทำทูน่าดิบได้ดีจริง ๆ และบริษัทกำลังจะทำทูน่าดิบและต่อไปก็อาจจะเป็นแซลมอนด้วย
พรุสหันมาให้ความสนใจในอุตสาหกรรมอาหารหลังจากที่เขาได้เข้าเรียนด้านจรรยาบรรณในการใช้สัตว์ที่มหาวิทยาลัยเท็กซัสในออสติน หลังจากอยู่ในเมืองได้ห้าปี เขาได้ย้ายไปอยู่ยุโรปและช่วยก่อตั้งศูนย์บ่มเพาะ ProVeg International
พรุสได้รู้จักกับรอน ชิเกต้า นักวิจัย นักเทคโนโลยีและผู้ประกอบการด้านวิทยาศาสตร์อาหารผู้ช่ำชองที่นี่ ซึ่งก่อนหน้านี้ชิเกต้าเป็นประธานเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ของ IndieBio ชิเกต้าได้พาพรุสให้รุ้จักกับโซเนีย ฮูรฺทาโด นักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์อาหาร และทั้งสามได้ร่วมก่อตั้ง Kuleana (ต่อมาชิเกต้าได้ออกจากบริษัท)
ประสบการณ์ด้านฟู้ด แอคเซเลอเรเตอร์ทำให้พรุสผู้ซึ่งรับประทานเนื้อมาตลอดชีวิตตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย ได้พบกับทางเลือกใหม่ของโปรตีนและนำไปสู่ความคิดในการพัฒนาทางเลือกอาหารที่ให้รสและกลิ่นแบบปลามากขึ้น
พรุสกล่าวว่าทูน่าของ Kuleana ทำจากธาตุเหล็ก น้ำมันสาหร่ายและโปรตีนหลากหลายชนิดที่ผสมรวมกันอย่างเหมาะสม Kuleana นำเงินทุนขั้นต้น 50,000 ยูโรที่ได้จากกู๊ด ซีด เวนเจอร์ มาใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่จะทำให้บริษัทสามารถทำรสชาติและเนื้อของปลาดิบ โดยไม่ต้องใช้เทคนิคการพิมพ์สามมิติ (ซึ่งพรุสกล่าวว่านั่นทำให้ผลิตภัณฑ์และรสชาติดูเหมือน “ปรุงสุก”)
Kuleana เข้าถึงตลาดด้วยการติดต่อกับเชฟซูชิและร้านอาหารทั่วประเทศเพราะเป้าหมายแรกของบริษัทคือร้านอาหาร
“สิ่งที่เราพบคือประมาณ 60% ของอาหารทะเลเป็นการรับประทานนอกบ้าน และยิ่งถ้าเป็นประเภทอาหารทะเลดิบตัวเลขยิ่งสูงกว่านี้” พรุสกล่าวและว่า “เรากำลังทำมากกว่าธุรกิจบริการด้านอาหาร”
ภายในหนึ่งปี Kuleana อาจจะปรากฎตัวในร้านบางร้านในฐานะทูน่าทางเลือกสำหรับซูขิโร และโปเกะโบวล์ (ข้าวหน้าปลาดิบสูตรฮาวาย) ด้วยราคาที่พรุสบอกว่าแข่งขันได้กับทูน่าเกรดสูง
ทั้งนี้ Kuleana ประสบความสำเร็จในการทดสอบรสชาติสองแห่งคือที่บาเซโลน่าและซานฟรานซิสโก และบริษัทได้ระบุให้นักลงทุนทราบว่าได้รับหนังสือแสดงความสนใจหลายฉบับสั่งซื้อทูน่าทดแทนจากบริษัทมากกว่า 50,000 ปอนด์
“ส่วนที่ยากที่สุดไม่ใช่รสชาติทูน่า แต่มันคือตัวเนื้อ” พรุสกล่าว (คู่แข่งทั้งหลายกำลังใช้การแปรรูปแบบอัดเกลียวหรืออัดพองซึ่งมันไม่ได้ผลดี เรามั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำกับเทคโนโลยีไบโอเทคน่าจะเป็นวิธีหนึ่งที่ดีที่สุด)
อ้างอิง : TechCrunch.com