ยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ประกาศลบแอคเคานท์นับพันรายบนแพลตฟอร์มทิ้ง โดยอ้างว่าแอคเคานท์เหล่านั้นเชื่อมโยงกับการทำแคมเปญที่ไม่เหมาะสมบางประการของอิหร่าน เวเนซุเอลา และรัสเซีย ขณะที่นักวิเคราะห์ยังคงตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีที่บริษัทโซเชียลมีเดียทั้งสองรายนี้ใช้ในการตรวจสอบ
โดยทางฝั่งเฟซบุ๊ก นาธาเนียล เกลเชอร์ (Nathaniel Gleicher) หัวหน้าฝ่ายนโยบายด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ได้โพสต์ในบล็อกว่า บริษัทได้ทำการลบแอคเคานท์ เพจ และกลุ่มที่สนับสนุนให้เกิดความเคลื่อนไหวบางอย่างในอิหร่านไปแล้ว 783 ราย และอีก 162 แอคเคานท์บนอินสตาแกรม โดยพบว่า เพจเหล่านี้มีการจ่ายเงินประมาณ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อลงโฆษณา และจัดอีเวนต์บนเฟซบุ๊กไปถึง 8 ครั้ง ซึ่งสร้าง Reach ผู้คนได้ราว 2 ล้านราย ซึ่งเกลเชอร์เรียกพฤติกรรมนั้น ๆ ว่า เป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง การทำเช่นนี้ทำให้เฟซบุ๊กถูกตั้งข้อสงสัยว่าบทบาทของเฟซบุ๊กคืออะไร เข้าข้างฝ่ายรัฐบาลอิหร่านเกินไปหรือไม่ และสิ่งที่ผู้คนจะแชร์ได้บนเฟซบุ๊กจะต้องมาจากข่าวหรือคอนเทนต์จากฝ่ายรัฐบาลอิหร่านแต่เพียงอย่างเดียวหรือเปล่า ซึ่งเกลเชอร์ได้อธิบายในส่วนนี้ไว้ว่า เฟซบุ๊กไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมใด ๆ ของรัฐบาลอิหร่าน
“เราได้พิสูจน์และมั่นใจว่าคอนเทนต์เหล่านี้มาจากอิหร่าน และมีผู้อยู่เบื้องหลังอยู่ในอิหร่าน” เกลเชอร์กล่าว พร้อมระบุว่าในบล็อกเหล่านั้นมีข้อมูลที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ความขัดแย้งระหว่างซีเรียกับเยเมน รวมถึงบทบาทของสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย อยู่เต็มไปหมดด้วย โดยเฟซบุ๊กมีผู้ให้ความช่วยเหลือในการตรวจสอบข้อมูลอย่างสภาแอตแลนติก (Atlantic Council) ที่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากนาโต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยช่วยเฟซบุ๊กจัดการปิดเพจของทางรัสเซีย และแอคเคานท์ของทีมงานที่กระจายอยู่ในยุโรปตะวันออก ประเทศในแถบคอเคซัส และตะวันออกกลางไปได้หลายร้อยรายเช่นกัน
แต่ไม่ใช่แค่เฟซบุ๊กที่ปิดเพจและแอคเคานท์เหล่านั้นได้ เพราะทวิตเตอร์เองก็ประกาศว่าบริษัทได้ปิดแอคเคานท์ 2,617 ราย ที่เชื่อมโยงกับอิหร่านไปเช่นกัน ที่น่าสนใจก็คือพวกเขาระบุว่ามีการทำงานร่วมกันด้วย โยล ร็อท (Yoel Roth) หัวหน้าฝ่าย Site Integrity กล่าวในบล็อกว่า บริษัทต้องการเผยให้เห็นว่ามีการกระทำที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งการตรวจสอบนี้ได้รับคำแนะนำจากบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน (เขาใช้คำว่า Industry peer) และในการตรวจสอบ ทวิตเตอร์ก็พบเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันกับที่เฟซบุ๊กเจอ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทวิตเตอร์ยืนยันได้ก็มีเพียงการบอกว่าแอคเคานท์เหล่านั้นมีจุดกำเนิดมาจากอิหร่าน สำหรับแอคเคานท์ของรัสเซีย ทวิตเตอร์ปิดไปประมาณ 418 แอคเคานท์ โดยอ้างว่าพฤติกรรมของแอคเคานท์เหล่านั้นมีความคล้ายคลึงกับพฤติกรรมของแอคเคานท์บริษัท IRA (Internet Research Agency) ของรัสเซีย แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าแอคเคานท์เหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ IRA อย่างไรเช่นกัน ทวิตเตอร์ยังปิดแอคเคานท์ในเวเนซุเอลาไปอีก 1,960 ราย โดยสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกไม่สามารถระบุได้ว่ามีจุดกำเนิดหรือถิ่นที่ตั้งในเวเนซุเอลาจริง 764 แอคเคานท์ และกลุ่มที่ 2 พบว่ามีส่วนร่วมในแคมเปญที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน และมีกลุ่มเป้าหมายเป็นประชาชนในเวเนซุเอลา อีก 1,196 ราย
แต่เมื่อถามถึงหลักฐานแล้ว ก็ยังมีน้อยมากที่จะยืนยันได้ถึงความเกี่ยวข้องเช่นกัน ความกังวลของนักวิเคราะห์จึงเป็นเรื่องที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้มักสามารถตรวจจับได้ถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติ แคมเปญที่ไม่เหมาะสมในประเทศที่สหรัฐอเมริกามีข้อขัดแย้ง หรือมีสถานการณ์ทางการเมืองเป็นหลัก ขณะที่ความผิดปกติในการลงโฆษณาที่เกิดในสหรัฐอเมริกาเองกลับไม่สามารถตรวจสอบได้
ยกตัวอย่าง เพจ Sputnik ได้เคยรายงานว่า เมื่อปี 2017 มีการทำแคมเปญโดยผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตในแอละแบมา และมีการใช้เงินสูงมากในระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ นอกจากนั้นยังพบพฤติกรรมของผู้สนับสนุนพรรคการเมืองพรรคหนึ่งปลอมเป็นสมาชิกของพรรคฝ่ายตรงข้าม และทำทั้งเพจปลอม ข่าวปลอม จัดอีเวนต์ปลอม เพื่อหลอกให้คนในแอละแบมาหลงเชื่อมาแล้ว
play youtube,
play youtube,
xnxx,
xhamster,
xvideos,
xnxx,
xxx,
sex việt,
Phim sex,
tiktok download,
MP3 download,
Fragrance Mont Blanc,
phim sex hay,
sex mex,
mp3play,
Crossing Jorden,
Related Posts
ผลวิจัยชี้ เฟซบุ๊ก-กูเกิล เสี่ยงละเมิดความเป็นส่วนตัวผู้ใช้งานแม้ว่าภาพของมาร์ค ซักเคอร์เบิร์กที่ออกมาแถลงถึงการให้บริการของเฟซบุ๊กต่อหน้านักกฎหมายในสหรัฐอเมริกาจะเป็นภาพที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกว่าทางแพลตฟอร์มมีความจริงใจและโปร่งใส แต่จากการศึกษาของกลุ่มเฝ้าระวังในนอร์เวย์กลุ่มหนึ่งก็ยังพบว่า บริษัทอย่างเฟซบุ๊ก และกูเกิล มีนโยบายบางอย่างที่ส่งผลเสียต่อผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในด้านความเป็นส่วนตัว
2562 ปีที่ Geospatial Technology จะโตเป็นดอกเห็ดเข้าสู่ปี 2562 ปฏิเสธไม่ได้ว่า เราอยู่ในโลกที่ต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนมากขึ้นเรื่อยๆ และหากสังเกตให้ดีจะพบว่า เครื่องมือสำคัญอย่างแอปพลิเคชันต่างๆ บนสมาร์ทโฟนนั้น จะเริ่มเรียกร้องขอเข้าถึงที่อยู่ของตัวเครื่องมากขึ้น แลกกับการให้บริการที่ (เขาเชื่อว่า) จะดียิ่งขึ้นตามไปด้วย