เหตุลงทุนคอนเทนต์หนัก เน็ตฟลิกซ์ประกาศขึ้นราคา 13 – 18%

20 January 2019 Corporate

เน็ตฟลิกซ์ประกาศขึ้นราคาค่าบริการในสหรัฐอเมริกา 13 – 18 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นการขึ้นราคาครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 12 ปีนับตั้งแต่เปิดให้บริการสตรีมมิ่งเลยทีเดียว โดยเน็ตฟลิกซ์เผยว่า เงินที่เพิ่มขึ้นนี้จะนำไปลงทุนผลิตรายการออริจินัลของทางแพลตฟอร์ม และทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากภาระหนี้ ซึ่งจะสามารถต่อกรกับคู่แข่งอย่างอเมซอน, ดิสนีย์ และเอทีแอนด์ที ได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับเน็ตฟลิกซ์ ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 ที่บริษัทมีการขึ้นราคาในตลาดสหรัฐอเมริกา โดยการขึ้นราคาก่อนหน้านี้มีขึ้นเมื่อปลายปี 2560 โดยปัจจุบัน เน็ตฟลิกซ์มีผู้สมัครสมาชิกแล้ว 58 ล้านคน (ตัวเลขจากเดือนกันยายน 2561) และจะส่งผลให้แพ็คเกจที่ถูกที่สุด (Basic) มีราคาเริ่มต้นเป็น 9 ดอลลาร์สหรัฐ (จาก 8 ดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนกลุ่มพรีเมียม ซึ่งราคาแพงที่สุดจะขยับจาก 14 ดอลลาร์สหรัฐเป็น 16 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ทั้งนี้ แผนการเพิ่มรายได้ก็มาพร้อมกับออปชันดี ๆ เช่นกัน นั่นคือในแพ็คเกจระดับกลางที่ได้รับความนิยมสูงสุด จากที่เคยจ่ายเดือนละ 11 ดอลลาร์สหรัฐ (ปัจจุบันจะถูกเพิ่มเป็น 13 ดอลลาร์สหรัฐ) สามารถสตรีมมิ่งคอนเทนต์ความละเอียดสูงมากได้ถึง 2 หน้าจอภายในเวลาเดียวกัน อีกทั้งการขึ้นราคาครั้งนี้ เน็ตฟลิกซ์ก็ยังถูกกว่า HBO อยู่ดี (HBO คิดค่าบริการที่เดือนละ 15 ดอลลาร์สหรัฐ) โดยการขึ้นราคาจะมีผลทันทีกับผู้สมัครใช้งานรายใหม่ ส่วนลูกค้าเดิมจะเริ่มมีผลภายใน 3 เดือนนี้ ซึ่งลูกค้าในละตินอเมริกากว่า 40 ประเทศที่ได้รับใบแจ้งหนี้เป็นค่าเงินสหรัฐอเมริกา จะมีผลทันทีเช่นกัน ยกเว้นตลาดอย่างเม็กซิโกและบราซิล โดยผู้ใช้บริการเน็ตฟลิกซ์นอกสหรัฐอเมริกานั้นพบว่ามีราว 79 ล้านคน

อย่างไรก็ดี การขึ้นราคานี้อาจทำให้มีผู้ยกเลิกการใช้งานมากขึ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้าในปี 2554 ที่เน็ตฟลิกซ์เคยสูญเสียลูกค้าไปมากถึง 600,000 ราย หลังจากไม่ยอมควบแพ็คเกจบริการดีวีดีกับวิดีโอสตรีมมิ่งเข้าด้วยกัน จุดที่แตกต่างในการขึ้นราคาของเน็ตฟลิกซ์ในครั้งนี้กับปี 2554 ก็คือบริษัทมีคอนเทนต์ที่เรียกแขกได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์อย่าง House of Cards, Orange Is The New Black, Stranger Things, The Crown รวมถึงเรื่อง Bird Box ที่บริษัทโหมโปรโมตเรื่องล่าสุด

นอกจากเน็ตฟลิกซ์ คู่แข่งรายต่าง ๆ ก็เตรียมพร้อมรบกันเต็มที่ เช่น ด้านอเมซอนก็มีบริการสตรีมมิ่ง โดยเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิก Prime ที่คิดราคา 13 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน หรือ120 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี ขณะที่ฮูล (Hulu) มีบริการสตรีมมิ่งแบบไร้โฆษณา ในราคา 12 ดอลลาร์สหรัฐ และเอทีแอนด์ที เจ้าของวอเนอร์มีเดีย รวมถึงวอลท์ดีสนีย์ ต่างก็เตรียมเปิดตัวสตรีมมิ่งภายในปีนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี การแข่งขันในธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่งทำให้เกิดการแข่งขันและแย่งชิงบุคลากรในกลุ่มผู้กำกับ นักเขียนบท นักแสดง ส่งผลให้เน็ตฟลิกซ์ต้องแบกรับภาระด้านการเงินมากขึ้น และจ่ายเงินลงทุนในส่วนนี้ไปแล้วถึง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา รวมถึงคาดว่าจะต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับสภาพการแข่งขัน และความแกร่งของเน็ตฟลิกซ์ว่าจะฝ่าฝันไปได้หรือไม่ในตลาดวิดีโอสตรีมมิ่งนั้น ยังส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง 21% จากราคาสูงสุด 423.21 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่่ผ่านมา โดยมาอยู่ที่ 332.94 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

อ้างอิง: MartketWatch.com