ไอบีเอ็มชี้ ‘ธุรกิจดั้งเดิม’ ยังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง แม้สตาร์ทอัพเกิดขึ้นมากมาย

26 July 2018 Technology

ไอบีเอ็มเผยผลสำรวจผู้บริหารระดับสูงทั่วโลก พบร้อยละ 72 มองว่า ‘ธุรกิจดั้งเดิม’ (Incumbent) ยังเป็นผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและมีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่บริษัทสตาร์ทอัพหรือผู้เล่นหน้าใหม่

อันเป็นผลมาจากการที่กลุ่มธุรกิจดั้งเดิมครอบครองข้อมูลมหาศาลและสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของตนมานานหลายสิบปี และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น คลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และบล็อกเชน ที่ช่วยสร้างนวัตกรรมแปลกใหม่จนกล่าวได้ว่ากลุ่มธุรกิจดั้งเดิมคือผู้ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างแรงสะเทือนในอุตสาหกรรม (Incumbent Disruptor)

ผลการศึกษาล่าสุดโดยสถาบันการศึกษาคุณค่าทางธุรกิจของไอบีเอ็ม (IBM Institute for Business Value) ที่สำรวจความคิดเห็นและสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารระดับสูงกว่า 12,800 คนจากบริษัทชั้นนำทั่วโลก ยังชี้ให้เห็นว่ามีผู้บริหารเพียงร้อยละ 22 ที่มองว่าบริษัทขนาดเล็กและบริษัทสตาร์ทอัพเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ขณะที่ 1 ใน 3 ระบุว่าได้รับผลกระทบน้อยมากหรือไม่ได้รับผลกระทบเลยจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมของตน

“ก่อนหน้านี้ราว 1 ปี เราเชื่อว่าบริษัทขนาดใหญ่และธุรกิจดั้งเดิมทั่วโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกแทรกแซงและแย่งตำแหน่งโดยบริษัทสตาร์ทอัพและผู้เล่นหน้าใหม่ที่เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล ซึ่งความเข้าใจนี้มีส่วนจริง หลายบริษัทได้ก้าวผ่านระยะแรกของการถูกสั่นคลอนโดยผู้มาใหม่และบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพที่เก่งๆ มาแล้ว” นายเจมส์ โคสิส พาร์ทเนอร์และรองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจไอบีเอ็ม โกลบอล บิสสิเนส เซอร์วิส บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว

“อย่างไรก็ดี เรากำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ของธุรกิจที่นวัตกรรมคลื่นลูกใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ คลาวด์ และบล็อกเชน รวมถึงประสบการณ์ยาวนานที่ผู้มาใหม่ไม่สามารถลอกเลียนหรือเอาชนะได้ จะสร้างข้อได้เปรียบและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจดั้งเดิมกลับมาเป็นผู้สร้างแรงสั่นสะเทือนในอุตสาหกรรม” นายเจมส์ เสริม

ข้อมูลได้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ทรงพลังที่สุดของบริษัทที่ก่อตั้งมานาน กล่าวคือ ข้อมูลในโลกนี้มีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เป็นข้อมูลสาธารณะที่สามารถสืบค้นได้ผ่านอินเทอร์เน็ตขณะที่ธุรกิจดั้งเดิมเป็นเจ้าของข้อมูลถึงร้อยละ 80 ของข้อมูลทั่วโลก ข้อมูลเหล่านี้เป็นผลมาจากการผสานรวมความรู้เชิงลึก ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรในองค์กรมาอย่างยาวนาน โดยกลุ่มธุรกิจดั้งเดิมได้นำข้อมูลเหล่านี้มาใช้เพื่อปรับปรุงองค์กรและกระบวนการต่างๆ พร้อมดึงนวัตกรรมคลื่นลูกใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และคลาวด์ เข้ามาเสริมความสามารถในการถอดรหัสข้อมูลและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผู้เล่นหน้าใหม่จะสามารถต่อกรกับพวกเขาได้ง่ายๆ

ผลการศึกษายังพบว่าร้อยละ 43 ของกลุ่มธุรกิจดั้งเดิมที่มีอิทธิพลต่อการสร้างแรงสะเทือนในอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะลงทุนในปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีค็อกนิทิฟ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของตน เปรียบเทียบกับกลุ่มบริษัทอื่นๆ ที่ลงทุนเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น

นอกจากนี้ ความสามารถในการใช้ข้อมูลเพื่อระบุความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จำแนกกลุ่มองค์กรผู้นำออกจากกลุ่มอื่น โดยร้อยละ 80 ของกลุ่มผู้นำระบุว่าพวกเขาสามารถค้นหาความต้องการที่ลูกค้าบอกว่ายังไม่ได้รับการตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมองว่าพวกเขาสามารถทำงานนี้ได้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ถึง 3 เท่า

ในการสำรวจของไอบีเอ็มเมื่อปี 2015 ผู้บริหารระดับสูงร้อยละ 54 มองภาวะการแข่งขันจากผู้เล่นต่างอุตสาหกรรมว่าจะรุนแรงขึ้น แต่ 2 ปีต่อมา ตัวเลขดังกล่าวลดลงถึงครึ่งหนึ่งเหลือเพียงร้อยละ 26 โดยแม้แต่ในอุตสาหกรรมที่มีความไม่แน่นอนสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป เช่น อุตสาหกรรมบริการทางการเงินและค้าปลีก ที่บรรดาธุรกิจสตาร์ทอัพและยักษ์ใหญ่ในวงการดิจิทัลได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก แต่ธุรกิจดั้งเดิมที่เดินหน้าสร้างนวัตกรรมต่อเนื่องก็ยังถือว่ามีส่วนอย่างมากในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

ผลการศึกษายังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มที่คาดว่าจะเป็นผู้สร้างแรงสะเทือนในธุรกิจกลับไม่สามารถฝ่าด่านเข้ามาได้ กล่าวคือการมีบทบาทสำคัญของยักษ์ใหญ่ในวงการดิจิทัลทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพและกองทุนร่วมลงทุน (VC) ที่ให้เงินทุนสนับสนุนเริ่มหวั่นเกรง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ จำนวนธุรกิจสตาร์ทอัพในสหรัฐอเมริกาได้แตะระดับต่ำสุดในรอบ 40 ปี ขณะที่การระดมทุนครั้งแรก รวมถึงการระดมทุนแบบ Angel และ Seed ลดลง โดยเงินทุนได้ย้ายไปสู่ข้อเสนอของบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นและบริษัทที่ค่อนข้างมั่นคงแล้ว

นอกจากนี้ ธุรกิจดั้งเดิมยังเริ่มนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้มากขึ้นร่วมกับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่มีและการบริหารทักษะบุคลากร และในบางกรณีก็มีการเข้าซื้อกิจการที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในธุรกิจเพื่อให้แข่งขันได้ในยุคดิจิทัล